วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 3 Information TechnologyInfrastructure เทคโนโลยีสารสนเทศโครงสร้างพื้นฐาน

บทที่ 3 

Information TechnologyInfrastructure 

เทคโนโลยีสารสนเทศโครงสร้างพื้นฐาน

     Information Technology Infrastructure
โครงสร้างของ IT จะประกอบด้วย: สิ่งอำนวยความสะดวกทางกายภาพต่าง ๆ ส่วนประกอบต่าง ๆ ของ IT การให้บริการ ด้านต่าง ๆ ของ IT, และ การบริหารด้าน IT ที่สนับสนุนการปฏิบัติงานทั่วทั้งองค์กร 
องค์หลัก ๆ IT Infrastructure ได้แก่ เทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์ 1) ด้านฮาร์ดแวร์ 2)ซอฟท์แวร์ 3) สิ่งอำนวยความสะด้วยในด้านโครงข่ายและการสื่อสาร 4) ฐานข้อมูล 5)บุคคลผู้ทำการบริหารจัดการสารสนเทศ และ รวมไปถึง การบริการด้าน IT ประกอบ ด้วย การพัฒนาระบบบริหารข้อมูล และ การรักษาความ ปลอดภัยในส่วนที่เกี่ยวข้อง 
นอกจากนั้น IT Infrastructure ยังประกอบด้วยทรัพยากรต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น รวมไปถึง การประ กอบเข้าด้วยกัน การทำงานร่วมกัน การจัดทำเอกสารต่าง ๆ การดูแลรักษา และ การจัดการ

     Information Infrastructure (สรุปได้ดังรูป)
1) Hardware
2) Software
3) Networks & communication facilities
4) Databases
5) IS personnel 






การทำงานของระบบ IT Infrastructure Monitoring


ระบบ IT Infrastructure Monitoring นี้จะทำการรวบรวมข้อมูลสถานะการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบเครือข่ายผ่านทาง SNMP, Syslog, SSH, NetFlow, sFlow, J-Flow และ Agent Software เพื่อวิเคราะห์สถานะการทำงานของอุปกรณ์ทั้งหมด, ตรวจสอบการโจมตีที่เกิดขึ้นในเครือข่าย และทำการแสดงผลแบบ Real-time ผ่านทาง Dashboard และการแจ้งเตือน รวมถึงสร้างรายงานได้ โดยระบบที่ IT Infrastructure Monitoring สามารถตรวจสอบได้มีดังนี้
  • ตรวจสอบการทำงานและการเรียกใช้งาน Application ต่างๆ
  • ตรวจสอบการทำงานและปัญหาที่เกิดขึ้นกับ Database
  • ตรวจสอบการทำงานและประสิทธิภาพของระบบ Storage
  • ตรวจสอบการทำงานและปริมาณการใช้งานระบบ Network
  • ตรวจสอบสถิติการทำงานและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในระบบ Security
  • ตรวจสอบการทำงานที่ระดับของ OS และ Hypervisor สำหรับระบบ System

STelligence แนะนำ NetGain Systems ระบบ IT Infrastructure Monitoring ที่ครอบคลุมทุกความต้องการ

NetGain Systems เป็นผู้ผลิตระบบ NetGain Enterprise Manager ที่สามารถสร้างระบบ IT Infrastructure Monitoring แบบสำเร็จรูป ที่รองรับการตรวจสอบการทำงานของระบบ IT Infrastructure ทั้งหมดได้จากหน้าจอเดียว โดยรองรับทั้งการใช้งานภายในสาขาเดียว และหลายสาขาได้พร้อมๆ กัน ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตามการทำงานในทุกๆ ระบบ IT ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
EVOLUTION OF IT INFRASTRUCTURE
Infrastructure as Code (IAC) เป็นอีกหนึ่งคำที่อยู่ในวงการ IT มาได้ระยะใหญ่ๆ แล้ว แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่คุ้นหูคุ้นตาของคนในสาย Enterprise IT กันมากนัก ทางทีมงาน TechTalkThai ที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมเขียนถึง (มาเกือบๆ ครึ่งปี) เลยขอหยิบมาเล่าให้ฟังกันคร่าวๆ กันตรงนี้ครับ

ปัญหาอะไรที่ทำให้ต้องเกิดแนวคิด IAC ขึ้นมา?

โดยปกติแล้วถ้าเป็นเมื่อก่อน เวลาเราจะ Deploy ระบบอะไรก็ตาม ผู้ดูแลระบบก็อาจจะมีการไปติดตั้งแบบ Manual แล้ว Integrate ระบบเหล่านั้นเข้ากันเป็น Platform ก่อนจะส่งรายละเอียดต่างๆ ที่จำเป็นให้ทางผู้พัฒนาใช้ ซึ่งแน่นอนว่าขั้นตอนเหล่านี้กินเวลาค่อนข้างมาก และอาจเกิดความผิดพลาดได้เยอะในระหว่างการตั้งค่าต่างๆ ซึ่งรวมถึงการตั้งค่าให้ระบบใช้งานได้, การปรับแต่งประสิทธิภาพ, การเสริมความทนทาน และการเพิ่มความปลอดภัย
ถัดจากนั้นมาเราก็เริ่มมีแนวคิดการทำ Template เพื่อให้ Deploy ระบบต่างๆ ได้โดยอาศัยเทคโนโลยี Virtualization เข้ามาช่วย ด้วยการสร้าง Virtual Machine ที่จำเป็นสำหรับระบบต่างๆ ขึ้นมาเป็นแม่แบบ ซึ่งถึงแม้จะช่วยลดเวลาในการติดตั้ง และปัญหาเรื่องการกำหนดค่าต่างๆ ผิดพลาดลงไปได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ถือว่าตอบโจทย์เพียงพออยู่ดี เพราะถ้าหากต้องมีการอัพเกรด Component ใดๆ ของระบบ ก็ต้องมาเตรียม Template กันใหม่ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เสียเวลามาก
และเราก็มีวิธีใหม่ๆ กันอีกเต็มไปหมด แต่เราจะขอข้ามช๊อตไปเลยนะครับเพราะโดยรวมๆ แล้ววิธีการส่วนใหญ่นั้นนอกจากจะช้า และไม่รองรับต่อการเปลี่ยนแปลงแล้ว ยังมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในระหว่างการเตรียมระบบค่อนข้างมาก และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิด Infrastructure as Code ครับ ซึ่งบางทีคนก็เรียกกันว่า Programmable Infrastructure เหมือนกัน

รู้จักกับ Infrastructure as Code (IAC)

แนวคิดของการทำ Infrastructure as Code นั้น ก็คือการเปลี่ยนขั้นตอนการ Deploy ระบทั้งหมดให้เป็นแบบ Automation โดยมี Code เป็นตัวกำหนดทุกสิ่งอย่างในการ Deploy นั่นเอง ทำให้งานการติดตั้ง Infrastructure และตั้งค่าทั้งหมดถูกแปลงให้อยู่ในรูปของ Script เพื่อทำคำสั่งต่างๆ ตามที่เรากำหนดเอาไว้แทน แต่แทนที่จะเป็นภาษา Script เหมือนการเขียนโปรแกรมกัน ตัวซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำ IAC นั้นก็อาจให้เราใช้ภาษาแบบ High-level แทน
ตัวอย่างเช่นการติดตั้ง Linux Package ใดๆ ด้วยระบบ IAC นั้น ผู้ดูแลระบบก็สามารถทำการติดตั้ง, กำหนดค่าเบื้องต้น, สร้าง User, กำหนดสิทธิ์ และ Start Service เหล่านั้นขึ้นมาให้พร้อมใช้งานได้เลยจากการกำหนดค่าต่างๆ ใน IAC นั่นเอง

ทำไมถึงควรจะต้องเรียนรู้เรื่อง Infrastructure as Code?

เพราะทุกๆ วันนี้การทำงานของเหล่าผู้ดูแลระบบนั้นกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการมาของ Cloud ที่การ Scale ระบบต่างๆ ให้ได้อย่างรวดเร็วและไม่ผิดพลาดนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ หรือการมาของ DevOps ที่ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่าง Admin และ Developer นั้นสำคัญมากขึ้น และการใช้ IAC เข้ามาช่วยก็จะทำให้การเตรียม Environment ต่างๆ ทั้งบน Production, Development และ Testing ถูกต้องตรงกันมากยิ่งขึ้น ลดปัญหาในการทำงาน และประหยัดเวลาในการเตรียมระบบไปได้เป็นอย่างมาก
เรียกง่ายๆ ได้ว่า ถ้าไม่หัด IAC เอาไว้ ต่อไปก็อาจจะพลาดโอกาสในการร่วมงานในบริษัทดีๆ, ทีมเก่งๆ หรืองานที่ผลตอบแทนสูงได้ ลองคิดว่าตัวเองต้องไปสัมภาษณ์งานแข่งกับ System Engineer อีกคนที่อ้างว่าสร้าง Server ทีละพันเครื่องได้ด้วย IAC แล้วคุณจะเอาอะไรไปแข่งกับเค้าถ้าทำไม่เป็น
แต่ IAC ก็ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ มีอย่างอื่นอีกมากมายที่เหล่าผู้ดูแลระบบคงต้องเรียนรู้เอาไว้ในช่วงนี้ ดังนั้นทำใจได้เลยครับ ช่วงนี้คงจะเป็นปีแห่งการเรียนรู้ที่เหนื่อยมากอย่างแน่นอน
TECHNOLOGY DRIVERS OF
INFRASTRUCTURE EVOLUTION

อ้างอิงจากรายงานของ IDC เหล่าองค์กรไทยมากกว่า 40% ที่ IDC ได้เข้าไปสำรวจนั้นมีการกันงบประมาณเอาไว้สำหรับการทำ Digital Transformation (Dx) อยู่แล้ว โดยมีเป้าหมาย 3 ประการที่เหล่าองค์กรให้ความสำคัญสูงสุด ดังนี้
  • การเข้าถึงลูกค้าและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้น (21%)
  • การปรับปรุงกระบวนการการทำงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีขึ้น (17%)
  • ลดค่าใช้จ่ายขององค์กร (4%)
อย่างไรก็ดี หากมองจากมุมของ CIO ที่มีความรับผิดชอบด้านระบบ IT และข้อมูลต่างๆ ภายในองค์กรนั้น กลับมีเป้าหมาย 3 เป้าที่ CIO ให้ความสำคัญสูงสุดต่างออกไป ได้แก่
  • สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ (44%)
  • บริหารจัดการระบบ IT ให้มีประสิทธิผลสูงขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่การ Optimize ระบบ (34%)
  • ก้าวจาก CIO ไปสู่การเป็น CDO (Chief Digital Officer) 10%

จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจองค์กรค่อนข้างมากทีเดียว โดยเฉพาะเหล่า CIO เองนั้นก็ถือเป็นตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบสูงสุด เพราะเมื่อเทคโนโลยีมีความสำคัญสูงขึ้นในการสร้างนวัตกรรมและเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร ไปจนถึงการเป็นศูนย์กลางของผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่หรือแม้แต่โมเดลทางธุรกิจใหม่ในอนาคต CIO เองก็ต้องปรับตัวไม่น้อยเพื่อตอบรับต่อความคาดหวังเหล่านี้ให้ได้เช่นกัน

คิดใหม่ทำใหม่: ธุรกิจต้องเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ พร้อมปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางด้าน IT ขององค์กรเสียใหม่

ในการทำ Digital Transformation นั้น องค์กรเองต้องเปิดรับต่อแนวคิดใหม่ๆ ในเชิงธุรกิจไปพร้อมๆ กับการเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อนำมาปรับใช้งาน และสร้างวัฒนธรรมการลองผิดลองถูกทั้งในเชิงธุรกิจและการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ไปพร้อมๆ กัน โจทย์นี้เองที่สะท้อนให้เหล่าองค์กรนั้นต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างทางด้าน IT ขนานใหญ่เลยทีเดียว
การเปลี่ยนแปลงในเชิงนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลักๆ ได้ดังนี้

1) Dual IT: องค์กรต้องรองรับทั้งระบบ IT เดิมที่ใช้งานอยู่ และระบบ IT ใหม่สำหรับสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างรวดเร็ว

ถึงแม้การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ จะสำคัญต่อองค์กร แต่การดูแลรักษาระบบ IT เดิมที่ช่วยให้ธุรกิจในแต่ละวันดำเนินไปได้อย่างราบรื่นนั้นก็ถือว่ายังคงมีความสำคัญสูงอยู่ดี ดังนั้นองค์กรเองก็ต้องพร้อมที่จะมีระบบทั้ง 2 ส่วนนี้ที่มีนโยบายในการดูแลรักษาและบริหารจัดการที่แยกขาดจากกันชัดเจน ซึ่งกรณีนี้เรามีชื่อเรียกว่า Dual IT นั่นเอง
ระบบเดิมที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจในแต่ละวันให้ได้อย่างราบรื่นนั้นมีชื่อเรียกว่า Traditional IT หรือระบบ IT แบบเดิม เพื่อใช้ในการให้บริการระบบงานต่างๆ ที่เหล่าพนักงานใช้ในการทำงานในแต่ละวันและจัดเก็บข้อมูลสำคัญของธุรกิจเอาไว้ ซึ่งระบบเหล่านี้มักจะใช้เทคโนโลยี Data Center แบบเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยกัน เช่น Physical Server, Virtualization, Data Center Networking, Campus Networking และอื่นๆ ซึ่งระบบเหล่านี้จะต้องดูแลให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง และมี Security ในระดับสูง เพื่อให้ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคง
ส่วนระบบใหม่สำหรับใช้สร้างสรรค์นวัตกรรมนั้นจะมีชื่อเรียกว่า Fast IT ซึ่งอาจจะมีทั้งการนำ Cloud มาใช้งาน หรือการสร้างพื้นที่สำหรับทดสอบเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างรวดเร็วภายในองค์กร (Sandbox) ขึ้นมาก็ได้ ระบบในส่วนนี้จะต้องรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพื่อให้การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาลองใช้งาน หรือการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อทดสอบนั้นสามารถทำได้อย่างคล่องตัว แต่ประเด็นด้าน Security เองก็ยังคงสำคัญอยู่เช่นกัน
ในรายงานของ IDC ได้สรุปถึงประเด็นนี้ว่าเหล่าองค์กรในไทยที่ได้ทำการสำรวจนั้น กว่า 34% ได้มีการเริ่มต้นใช้งานทั้ง Traditional IT และ Fast IT แล้ว

2) เปิดรับเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ในการทดลองสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ

เทคโนโลยีใหม่ที่เหล่าองค์กรเริ่มเปิดรับเข้ามาใช้งานในช่วงนี้มีด้วยกัน 6 ระบบหลักๆ ได้แก่
  • Artificial Intelligence (AI) ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ปัจจุบันเหล่าองค์กรได้เปิดรับการนำ Machine Learning และ Deep Learning มาใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเทคโนโลยีเหล่านี้มักถูกพัฒนาต่อยอดขึ้นมาจากระบบ Big Data
  • Big Data & Analytics ระบบจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้องค์กรสามารถนำข้อมูลมาสร้างคุณค่าในรูปแบบใหม่ๆ และนำไปต่อยอดสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ได้
  • Blockchain เทคโนโลยีสำหรับการจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ด้วยความน่าเชื่อถือระดับสูง เป็นหัวใจของการสร้างนวัตกรรมจำนวนมากในปัจจุบัน
  • Cloud สถาปัตยกรรมระบบ IT ที่มีความยืดหยุ่นสูง ครอบคลุมทั้ง Public Cloud แบบเช่าใช้จากหน่วยงานอื่นภายนอกองค์กร และ Private Cloud ที่ลงทุนติดตั้งและใช้งานเองภายในองค์กร
  • Internet of Things (IoT) เทคโนโลยีที่เปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีการใช้งานอยู่เดิม หรือผลิตภัณฑ์ที่จะสร้างขึ้นมาในอนาคตให้สามารถเชื่อมต่อกับ Internet ได้ เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูล, ประมวลผล หรือนำเทคโนโลยีนวัตกรรมอื่นๆ มาผสานเพื่อให้อุปกรณ์เหล่านั้นมีความชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น หรือองค์กรมีข้อมูลสำหรับใช้ในการวิเคราะห์และปรับปรุงการทำงานต่างๆ มากขึ้น
  • Software & Virtualization แนวคิด Software-Defined Infrastructure ที่เปลี่ยนระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทางด้าน IT ขององค์กรให้อยู่ในรูปของ Software เพื่อความยืดหยุ่นสูงสุดในการรองรับการเปลี่ยนแปลง

เมื่อระบบ IT คือหัวใจหลักขององค์กร การตรวจสอบการทำงานของระบบเหล่านั้นก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แน่นอนว่าไม่ว่าองค์กรจะลงทุนพัฒนานวัตกรรมใหม่ให้ดีแค่ไหน สุดท้ายแล้วนวัตกรรมเหล่านั้นจะไม่มีค่าเลยหากผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงนวัตกรรมเหล่านั้นผ่านระบบ IT ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงโดยพนักงานภายในองค์กรเอง หรือการเข้าถึงจากเหล่าลูกค้าและคู่ค้าภายนอกองค์กรก็ตาม
ด้วยเหตุนี้การดูแลรักษาระบบ IT ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ, มั่นคง และทนทานแบบ End-to-End ตั้งแต่จากการเชื่อมต่อของผู้ใช้งานไปจนถึงระบบต่างๆ ที่ได้พัฒนาขึ้นมานั้นจึงถือเป็นประเด็นสำคัญมากที่เหล่าองค์กรจะมองข้ามไปไม่ได้ และประเด็นนี้เองที่ Netka System จะเข้ามาช่วยเหล่าธุรกิจและองค์กรต่างๆ ตอบโจทย์ด้วยระบบ Unified IT Management Software Solutions  แบบครบวงจร

Netka System บริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีไทย ที่ก้าวไกลถึงตลาด Unified IT Management Software Solutions  ในระดับโลก
Netka System คือผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาระบบ Unified IT Management Software Solutions สำหรับเหล่าองค์กร  ด้วยจุดแข็งทางด้านทีมพัฒนาที่มีแบ็คกราวด์ด้านเน็ตเวิร์คและมีความรู้ความสามารถในการเขียนโปรแกรม จึงได้พัฒนาซอฟต์แวร์ระบบบริหารจัดการไอทีและระบบบริหารจัดการด้านไอที จนได้รับการยอมรับจากกว่า 80% ของ ISP ในประเทศไทย และได้รับการยอมรับจากสนามบินนานาชาติระดับโลกในแถบตะวันออกกลาง และอีกหลายประเทศ ในการเลือกใช้งานซอฟต์แวร์ของเน็ตก้า
จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างไม่หยุดยั้งมาตั้งแต่ปี 2005 ปัจจุบันนี้ก็ทำให้ Netka System มีโซลูชันที่เป็นที่ยอมรับจากเหล่าองค์กรทั้งในไทยและนานา ดังนี้
  • Unified IT Management โซลูชั่นเดียวที่ครบวงจรแบบ end to end สำหรับการติดตามการทำงานและบริหารจัดการระบบไอทีทั้งระบบได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เน็ตเวิร์ค, service & application, Database, IP Surveillance, IoT and Environment Sensors และ Virtualization & Cloud ตลอดจนอุปกรณ์เฉพาะทาง เช่น Microwave เป็นต้น โดยครอบคลุมการบริหารจัดการตาม FCAPS โซลูชั่นมี 3 editions และโมดูลให้เลือกใช้กว่า 30 กว่าโมดูล ให้เลือกใช้ตามความต้องการ ซึ่งครอบคลุมการบริหารจัดการ 4 Pillars of Network Operation อันได้แก่ Planning, Provisioning, Monitoring และ Analytics
  • ด้วยความที่ Netka System เป็นบริษัทสัญชาติไทยอย่างเต็มตัว และมีทีมงานนักพัฒนาชาวไทย มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มี new release ออกใหม่ในทุกๆ ปี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการต่างๆ ของเหล่าธุรกิจในไทย และฝ่ายบริการหลังการขายคนไทยที่พร้อมให้บริการเหล่าองค์กรและธุรกิจต่างๆ ซึ่งไม่เพียงยอมรับในไทยเท่านั้น แต่ยังได้รับการยอมรับในระดับสากล
COMPUTER HARDWARE PLATFORMS
โครงสร้างเทคโนโลยีสารสนเทศแบ่งออกเป็นส่วนประกอบหลัก


—โครงข่ายพื้นฐานด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Computer Hardware Platforms)

—โครงข่ายระบบปฏิบัติการ (Operating System Platform)

—โปรแกรมใช้งานทั่วทั้งองค์กร (Enterprises Software Application)
—การบริหารข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูล (Data Management and Storage)
—ระบบเครือข่ายโทรคมนาคม (Networking / Telecommunication Platform)
—โครงข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet Platform)
—การให้คำปรึกษาและการเชื่อมต่อระบบงาน (Consulting and System Integration Services)
โครงข่ายพื้นฐานด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์

—โครงข่ายพื้นฐานของคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยอุปกรณ์นำเข้า อุปกรณ์ประมวลผล และอุปกรณ์นำข้อมูลออก
—ในด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แนวโน้มของการพัฒนามุ่งไปสู่การเชื่อมโยงโครงข่ายระบบคอมพิวเตอร์กับระบบโทรคมนาคม เช่น โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันทำได้มากกว่าการติดต่อสื่อสาร แต่สามารถทำอะไรได้มากกว่าที่อดีตเคยทำได้ ได้แก่ การถ่ายรูป การเชื่อมต่อ Internet เป็นต้น เสมือนเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเล็กนั่นเอง
เป็นอีกแนวโน้มหนึ่งของการพัฒนาด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องที่กระจายตามสถานที่ต่างๆ ให้มารวมเป็นหนึ่งเครือข่าย
การบริหารข้อมูลและจัดการเก็บข้อมูล
การบริหารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์หรือข้อมูลดิจิทัลเป็นสิ่งจำเป็นในระบบสารสนเทศ  กิจการมักต้องการใช้โปรแกรมประเภทบริหารฐานข้อมูล (Database Management System) สำเร็จรูปตัวใดตัวหนึ่งที่มีจำหน่ายในท้องตลาด โปรแกรมที่มีชื่อเสียงได้แก่ Oracle, SQL Server, MySQL เป็นต้น 
 
  *** MySQL โหลดมาใช้ได้ฟรี ส่วนมากมักโหลดโปรแกรม Web Server แล้วจะมี MySQL รวมมาอยู่ด้วย เช่น Appserv, Xampp (PHP, MySQL, PHPMyAdmin, Apache)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทที่ 6 E-Commerce : Digital Markets, Digital Goods

E-Commerce : Digital Markets, Digital Goods ------------------------------------------------------------------------ E-Business      ...