วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 5 เทคโนโลยีสารสนเทศ โครงสร้างพื้นฐาน

-------------------------------------------------------------
WHAT IS A COMPUTER NETWORK?
อะไรคือเครือข่ายคอมพิวเตอร์?
-------------------------------------------------------------
Computer Network คืออะไร
     Computer Network คือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งหมายถึงการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล หรือสื่ออื่นๆ ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถรับส่งข้อมูลแก่กันและกันได้ ในกรณีที่เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลาง เราเรียกคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางนี้ว่า โฮสต์ (Host) และเรียกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เข้ามาเชื่อมต่อว่า ไคลเอนต์ (Client/Terminal)  
     ระบบเครือข่าย (Network) จะเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเพื่อการติดต่อสื่อสาร   เราสามารถส่งข้อมูลภายในอาคาร หรือข้ามระหว่างเมืองไปจนถึงอีกซีกหนึ่งของโลก   ซึ่งข้อมูลต่างๆ อาจเป็นทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง ก่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วแก่ผู้ใช้   ซึ่งความสามารถเหล่านี้ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการใช้งานในแวดวงต่างๆ 
     รูปแบบของเน็ตเวิร์คแบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
1. LAN (Local Area Network) เป็นกลุ่มของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันในพื้นที่จำกัด เช่นภายในตึกสำนักงาน หรือภายในโรงงาน ส่วนมากจะใช้สายเคเบิ้ลในการติดต่อสื่อสารกัน
2. MAN (Metropolitan Area Network) เป็นการนำระบบ LAN หลายๆ LAN ที่มีพื้นที่อยู่ใกล้เคียงกันมาเชื่อมต่อกัน ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่นเชื่อมต่อกันในเมือง หรือในจังหวัด เป็นต้น
3.WAN (Wide Area Network) เป็นกลุ่มของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันแบบกว้างขวาง อาจจะเป็นภายในประเทศ หรือระหว่างประเทศเป็นการใช้ หลายๆ LAN หรือหลายๆ MAN ซึ่งอยู่คนละพื้นที่ เชื่อมต่อเข้าหากัน เช่น สำนักงานที่ New York เชื่อมต่อกับที่ London การติดต่อสื่อสารกัน อาจจะใช้ตั้งแต่สายโทรศัพท์จนกระทั่งถึงดาวเทียม
    -อาจจะมีอีกประเภทหนึ่ง คือ SAN (Small Area Network) เป็นกลุ่มของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันในพื้นที่ขนาดเล็กมาก อาจจะเป็นในบ้าน หรือสำนักงานขนาดเล็กที่มีจำนวนของคอมพิวเตอร์ไม่ควรจะเกิน 10 เครื่อง
Computer Network คืออะไร คอมพิวเตอร์ เน็ตเวิร์ค คือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ลักษณะของระบบเครือข่าย

ปัจจุบันมีการใช้งาน Cloud กันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานโปรแกรมต่างๆ เช่น office, ระบบ CRM, ระบบ ERP ก็มีการใช้งานบน Cloud มันอย่างแพร่หลาย ทำให้ Network ที่เสถียนมีความจำเป็น
มาก 

-------------------------------------------------------------
Networks in Large Companies
เครือข่ายใน บริษัท ขนาดใหญ่

-------------------------------------------------------------


ระบบเครือข่ายภายในสำนักงาน




รูปแสดงตัวอย่างโครงสร้างระบบเครือข่ายแลนในสำนักงาน

LAN ย่อมาจาก Local Area Network

LAN คือระบบเครือข่าย แบบเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันในระยะจำกัด เช่น ในอาคารเดียวกัน หรือบริเวณเดียวกันที่สามารถลากสายถึงกันได้โดยตรง ส่วนมากจะใช้สายเคเบิ้ล หรือ ที่เรียกกันว่า สายแลน เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อ อัตราเร็วของเครือข่าย LAN อยู่ที่ระหวาง 1-1000 Mbps ทั้งนี้ความเร็วข้อมูลขึ้นอยู่กับ ตัวกลางสายส่งที่ใช้ เทคนิคการส่งสัญญาณ และข้อกำหนดของผู้ให้บริการเน็ตเวิร์ค
หากเป็นองค์กรขนาดเล็ก ความสำคัญของเครือข่ายจะลดลงเพราะองค์กรอาจเลือกระบบ LAN ร่วมกันใช้งานภายใน และต่อเชื่อมกับภายนอกผ่านเครือข่ายบริการสาธารณะ เช่น ขององค์การโทรศัพท์หรือของการสื่อสาร ตลอดจนบริการของเอกชนที่กำลังให้เปิดบริการในขณะนี้อีกหลายเครือข่าย
สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ระบบเครือข่ายภายในเป็นเรื่องสำคัญ การวางเครือข่ายภายในหรือที่เรียกว่า Backbone เป็นเรื่องที่ทำให้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ถึงกันได้
ตัวอย่างการวางโครงข่ายหลักขององค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการเชื่อมโยงข้อมูลภายในหลาย ๆ แผนกเข้าด้วยกัน โดยมีหน่วยงานกลางหรือศูนย์คอมพิวเตอร์เป็นแหล่งเก็บรวบรวมข้อมูลสำหรับการบริหาร ศูนย์คอมพิวเตอร์จึงเสมือนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งแต่เดิมจะแตกกระจายเชื่อมโยงกับศูนย์คอมพิวเตอร์ขององค์กรแบบรูปดาว คือแตกกระจายเทอร์มินัลออกไป แต่ในปัจจุบันมีการวางสายเพื่อเป็นถนนให้กับข้อมูลที่เรียกว่า Backbone ถนนข้อมูลเหล่านี้จะทำหน้าที่เป็นถนนสายหลักสำหรับข้อมูล ซึ่งจำเป็นต้องให้ข้อมูลวิ่งผ่านถนนด้วยความเร็วเหมือนถนนเชื่อมระหว่างจังหวัดในแต่ละแผนกจะมีถนนสายย่อยของตนเอง เช่น เป็นระบบ LAN มีจำนวนสถานีหลาย ๆ สถานี แต่ละสถานีเชื่อมต่อถึงกัน มีการส่งผ่านข้อมูลต่าง ๆ เข้าหากันได้ และส่งข้อมูลออกถนนสายหลักไปยังแผนกต่าง ๆ หรือศูนย์คอมพิวเตอร์กลางได้ การขยายเครือข่ายจะทำได้ง่าย ด้วยเหตุนี้เองจึงให้ข้อเด่นที่แต่ละหน่วยงานจะดูแลสถานีของตนเอง และสามารถลงทุนขยายระบบตามความจำเป็น คอมพิวเตอร์หลักก็ไม่จำเป็นต้องมีขีดความสามารถประมวลผลสูงมาก เพราะการประมวลผลกระทำแบบกระจาย แต่ต้องมีขีดความสามารถในการเก็บข้อมูลได้มาก เราจึงเรียกว่า File Server โครงข่ายการวางถนนหลักจึงทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง ลงทุนน้อยลง ดูแลง่ายขึ้น จึงมีผู้เรียกระบบลักษณะนี้ว่า own sizing ซึ่งเป็นการลดขนาดเมนเฟรมในอดีตลงมา โดยที่ประสิทธิภาพการทำงานต่าง ๆ ยังทำได้ดี และที่สำคัญคือ เชื่อมโยงให้เป็นระบบสำนักงานอัตโนมัติได้อีกด้วย
การวางถนนข้อมูลสายหลักจะต้องดูพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เพื่อว่าการลงทุนวางสายจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยลง หากต้องการให้มีเส้นทางถนนสำรองเพื่อเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบ ก็จะต้องเลือกเส้นทางสำรอง นอกจากนี้ยังต้องดูความหนาแน่นของการใช้ข้อมูลเพื่อทำให้ถนนข้อมูลไม่แออัด ทำให้ประสิทธิภาพลดลง

การเชื่อมโยงเครือข่ายแบบ LAN มี 3 รูปแบบ คือ


Bus มีการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 10-100 MB/sจะเชื่อมต่อกันบนสายสัญญาณเส้นเดียวกัน โดยจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า T-Connector เป็นตัวแปลงสัญญาณข้อมูลเพื่อนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และ Terminator ในการปิดหัวท้ายของสายในระบบเครือข่ายเพื่อดูดซับข้อมูลไม่ให้เกิดการสะท้อนกลับของสัญญาณ

Star เป็นระบบที่มีเป็นการต่อแบบรวมศูนย์ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต่อสายเข้าไปที่อุปกรณ์ที่เรียกว่า Hub หรือ Switch โดยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Hub หรือ Switch จะทำหน้าที่เปรียบศูนย์กลางที่ทำหน้าที่กระจายข้อมูล โดยข้อดีของการต่อในรูปแบบนี้คือ หากสายสัญญาณเกิดขาดในคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆจะสามารถใช้งานได้ปรกติ แต่หากศูนย์กลางคือ Hub หรือ Switch เกิดเสียจะทำให้ระบบทั้งระบบไม่สามารถทำงานได้ทั้งระบบ

Ring เป็นระบบที่มีการส่งข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน โดยจะมีเครื่อง Server หรือ Switch ในการปล่อย Token เพื่อตรวจสอบว่ามีเครื่องคอมพิวเตอร์ใดต้องการส่งข้อมูลหรือไม่และระหว่างการส่งข้อมูลเครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆที่ต้องการส่งข้อมูลจะต้องทำการรอให้ข้อมูลก่อนหน้านั้นถูกส่งให้สำเร็จเสียก่อน
-------------------------------------------------------------
WHAT IS THE INTERNET?
INTERNET คืออะไร?
-------------------------------------------------------------
  อินเตอร์เน็ตคืออะไร

ในสังคมยุคข่าวสารเช่นปัจจุบันนี้ แทบจะไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำว่า อินเตอร์เน็ต” เหตุเพราะอินเตอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนจำนวนมากในโลกนี้ไปแล้ว ประมาณกันว่าในแต่ละวันมีผู้คนมากกว่า 50 ล้านคนในประเทศต่างๆ กว่า 150 ประเทศทั่วโลกกำลังใช้อินเตอร์เน็ตกันอยู่ อาจเป็นนักศึกษาคนหนึ่งในประเทศออสเตรเลียที่กำลังสืบค้นข้อมูลจากห้องสมุดแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ หรือเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นกำลังสั่งซื้อหนังสือจากประเทศไทย เป็นต้น การประกอบกิจกรรมต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตดังที่ได้กล่าวมานี้ เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นภาพของการสื่อสารที่ไร้พรมแดนได้อย่างชัดเจน
                การใช้อินเตอร์เน็ตในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไปมากขึ้น โดยได้ก้าวล่วงเข้าไปในทุกสาขาอาชีพ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการศึกษาหรือการวิจัยเหมือนเมื่อเริ่มมีการใช้อินเตอร์เน็ตใหม่ๆ ด้วยคุณสมบัติการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ ทำให้อินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาขององค์กรทั้งหลาย ได้มีความพยายามนำอินเตอร์เน็ตมาใช้เพื่อประโยชน์สำหรับหน่วยงานของตนในรูปแบบต่างๆ อาทิ การประชาสัมพันธ์องค์กร การโฆษณาสินค้า การค้าขาย การติดต่อสื่อสาร ฯลฯ นอกจากนี้อินเตอร์เน็ตยังกลายเป็นอีกสื่อหนึ่งของความบันเทิงภายในครอบครัวไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือพิมพ์ก็ตาม ล้วนแล้วแต่สามารถกระทำผ่านอินเตอร์เน็ตได้ทั้งสิ้น

1.  ความหมายของอินเตอร์เน็ต
                “อินเตอร์เน็ต” มาจากคำว่า International Network เป็นเครือข่ายของการสื่อสารข้อมูลขนาดใหญ่ อันประกอบด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์จำนวนมาก เชื่อมโยงแหล่งข้อมูลจากองค์กรต่างๆ ทั่วโลกเข้าด้วยกัน
                คำว่า เครือข่าย” หมายถึง
                1.  การที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ เครื่องขึ้นไป เชื่อมต่อเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล (ทางตรงและหรือสายโทรศัพท์ (ทางอ้อม)
                2.  มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์
                3.  มีการถ่ายเทข้อมูลระหว่างกัน
               
2.  หน้าที่และความสำคัญของอินเตอร์เน็ต
                การสื่อสารในยุคปัจจุบันที่กล่าวขานกันว่าเป็นยุคไร้พรมแดนนั้น การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว และใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของทุกหน่วยงาน และอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวได้ จึงเป็นความจำเป็นที่ทุกคนต้องให้ความสนใจและปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่นี้ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างเต็มที่
                อินเตอร์เน็ต ถือเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สากลที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ภายใต้มาตรฐานการสื่อสารเดียวกัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารและสืบค้นสารสนเทศจากเครือข่ายต่างๆ ทั่วโลก ดังนั้น อินเตอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งรวมสารสนเทศจากทุกมุมโลก ทุกสาขาวิชา ทุกด้าน ทั้งบันเทิงและวิชาการ ตลอดจนการประกอบธุรกิจต่างๆ
                เหตุผลสำคัญที่ทำให้อินเตอร์เน็ตได้รับความนิยมแพร่หลายคือ
                1.  การสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต ไม่จำกัดระบบปฏิบัติการของเครื่องคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ที่ต่างระบบปฏิบัติการกันก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้
                2.  อินเตอร์เน็ตไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของระยะทาง ไม่ว่าจะอยู่ภายในอาคารเดียวกันห่างกันคนละทวีป ข้อมูลก็สามารถส่งผ่านถึงกันได้
                3.  อินเตอร์เน็ตไม่จำกัดรูปแบบของข้อมูล ซึ่งมีได้ทั้งข้อมูลที่เป็นข้อความอย่างเดียว หรืออาจมีภาพประกอบ รวมไปถึงข้อมูลชนิดมัลติมีเดีย คือมีทั้งภาพเคลื่อนไหวและมีเสียงประกอบด้วยได้
                คำอื่นที่ใช้ในความหมายเดียวกับอินเตอร์เน็ต คือ Information Superhighway และ Cyberspace

3.  อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย
                ประเทศไทยได้เริ่มมีการติดต่อเชื่อมโยงเข้าสู่อินเตอร์เน็ตในพ.. 2535 โดยเริ่มที่สำนัก วิทยบริการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9600 บิตต่อวินาทีจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย ต่อมาใน พ.. 2536 เนคเทคได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 64 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการขนถ่ายข้อมูล ทำให้ประเทศไทยมีวงจรสื่อสารระหว่างประเทศ วงจร หน่วยงานต่างๆ ที่เข้าร่วมเชื่อมโยงเครือข่ายในระยะแรกๆ ได้แก่สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ และต่อมาได้ขยายไปยังหน่วยงานราชการอื่นๆ
                สำหรับภาคเอกชน ได้มีการก่อตั้งบริษัทสำหรับให้บริการอินเตอร์เน็ตแก่เอกชนและบุคคลทั่วไปที่นิยมเรียกกันว่า ISP (Internet Service Providers) หลายราย เช่น ศูนย์บริการอินเตอร์เน็ตแห่งประเทศไทย (Internet Thailandบริษัทเคเอสซีคอมเมอร์เชียลอินเตอร์เน็ตจำกัด(Internet KSC) บริษัทล็อกซเลย์อินฟอร์เมชันจำกัด (Loxinfoเป็นต้น โดยในการพิจารณาเลือกใช้บริการจาก ISP เอกชนเหล่านี้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ
                1.  อัตราค่าใช้จ่ายโดยรวม ทั้งค่าสมัครเป็นสมาชิกและค่าใช้จ่ายเป็นรายครั้ง รายเดือน หรือรายปี
                2.  คำนวนคู่สายโทรศัพท์ ว่ามีให้ใช้ติดต่อมากเพียงพอหรือไม่ เพราะถ้ามีไม่มากก็จะเสียเวลารอคอยนานกว่าจะเชื่อมต่อได้
                3.  ความเร็วของสายที่ใช้
                4.  พื้นที่ในการให้บริการ ควรเลือกใช้ ISP ที่อยู่ในจังหวัด หรือพื้นที่ใกล้เคียงจะเหมาะสมกว่า เพราะ ISP ส่วนใหญ่มักให้บริการในเขตกรุงเทพมหานคร
                                                     **********************************************

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561

บทที่ 4 Information Technology Infrastructure Database and Information System

Information Technology Infrastructure
Database and Information System
-------------------------------------------------------------
FILE ORGANIZATION TERMS AND
CONCEPTS

·        File Organization concepts เรียงลำดับจากเล็กสุดไปใหญ่สุด
  • Bit แสดงให้เห็นหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูล  0 (off),1 (on)
  • Byte คือ bit รวมกัน 2 ตัวขึ้นไปกลายเป็นอักขระ ตัวอักษร ตัวเลข symbol
  • Field เขตข้อมูล คือ ตัวอักษรตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปรวมกันกลายเป็นคำที่มีความหมาย เช่น ชื่อ , ที่อยู่ , สิ่งของ , อายุ
  • Record ระเบียน คือ การรวมของ Field กลายเป็นเรื่องๆหนึ่ง
  • File แฟ้มข้อมูล คือ กลุ่มข้อมูลที่เก็บรายการที่เกี่ยวข้องกัน อ้างอิงเรื่องเดียวกันนำรวมกัน อาทิเช่น ตารางข้อมูลนักศึกษาตารางข้อมูลอาจารย์/เจ้าหน้าที่ตารางข้อมูลอาคาร/สถานที่ตารางข้อมูลการจัดตารางการสอน.

  • ฐานข้อมูล (Database) คือ แหล่งจัดเก็บและรวบรวมกลุ่มข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กัน เป็นส่วนของข้อมูลที่อยู่ในองค์กรในระบบเดียวกัน
คุณสมบัติของฐานข้อมูล
-          แหล่งเก็บข้อมูลขนาดใหญ่โดยปกติมักจะมีกลุ่มเดียว
-          มักกำหนดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
-          ข้อมูลจะถูกรวบรวมไว้ด้วยกันเพื่อให้เกิดความซ้ำซ้อนน้อยที่สุด
-          ข้อมูลทรัพยากรสามารถร่วมกันได้หลายหน่วยงานภายใต้องค์กรเดียวกันไม่เป็นของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

การจัดแฟ้มข้อมูล ( File Organization )  การจัดแฟ้มข้อมูลเป็นเทคนิคที่ใช้ในการแทนและเก็บระเบียนในแฟ้มข้อมูล  ซึ่งเทคนิคเบื้องต้นของการจัดแฟ้มข้อมูลมี  3  แบบ คือ
1แบบเรียงลำดับ ( Sequential )
2. แบบสุ่ม ( Random )
3. แบบเรียงลำดับเชิงดัชนี ( Indexed Sequential )
การจัดแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ ( Sequential File )  การจัดแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ เป็นการจัดรวบรวมระเบียน (Records) ตามลำดับจากน้อยไปหามากหรือจากมากไปหาน้อยของเขตข้อมูลย่อย(field)หนึ่งของทุกระเบียนในแฟ้มนั้น ซึ่งจะเรียกเขตข้อมูลย่อยนี้ว่าเป็น คีย์ (Key)ของระเบียน
               การจัดแฟ้มแบบนี้เหมาะกับงานที่มีระยะเวลาในการประมวลผลค่อนข้างแน่นอนและต้องการข้อมูลจากแฟ้มเพื่อใช้ในการประมวลผลแต่ละครั้งเป็นจำนวนมากเมื่อต้องการค้นหาข้อมูลในระเบียนที่ต้องการ เครื่องคอมพิวเตอร์จะอ่านข้อมูลเรียงตามลำดับและเปรียบเทียบคีย์ที่ต้องการ จนกระทั่งพบระเบียนซึ่งมีคีย์ตามที่ต้องการ การค้นหาข้อมูลในลักษณะนี้จะเสียเวลามาก โดยเฉลี่ยแล้วอ่านระเบียนประมาณครึ่งหนึ่งของแฟ้มจึงจะพบระเบียนที่ต้องการ
                สำหรับการ Update ข้อมูลแฟ้มแบบนี้ จะนิยมเก็บสะสมข้อมูลที่จะเปลี่ยนแปลงเอาไว้ก่อนทั้งนี้เพราะ การค้นหาข้อมูลครั้งละ 1 ระเบียนต่อการประมวลผล 1 ครั้ง ทำให้เสียเวลามากดังได้กล่าวแล้ว
การจัดแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม ( Random File )การจัดแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม เป็นการจัดแฟ้มข้อมูลเพื่อให้เครื่องสามารถเข้าถึงระเบียนที่ต้องการได้โดยตรง (Direct) และไม่จำเป็นต้องผ่านระเบียนอื่นๆตามลำดับ ซึ่งเป็นผลให้เวลาที่ใช้ในการค้นหาหรือ Update ระเบียนทำได้เร็วกว่าแบบSequential สื่อบันทึกข้อมูลที่ใช้จะต้องเป็นประเภทที่สามารถเข้าถึงได้โดยตรง เช่น จานแม่เหล็ก การจัดเก็บบันทึกระเบียนจะต้องคำนวณหาที่เก็บบนสื่อโดยคำนวณจาก field ที่เป็น keyของระเบียน ซึ่งมีวิธีการคำนวณหลายแบบแตกต่างกันไป เมื่อได้ตำแหน่งแล้วจึงจะบันทึกระเบียนตรงตำแหน่งนั้น
           การ Update แฟ้มข้อมูลแบบสุ่มจะทำได้สะดวกและรวดเร็วกว่าแบบ Sequential ทั้งนี้เพราะการ Update จะสามารถUpdate ภายใต้แฟ้มข้อมูลเดิมได้ กล่าวคือเมื่อสิ้นสุดการUpdate จะไม่เกิดแฟ้มข้อมูลใหม่เหมือนแบบ Sequential เมื่อต้องการเพิ่ม ลด หรือเปลี่ยนแปลงระเบียนสามารถทำได้ทันทีเหมาะสำหรับงานที่มีระยะเวลาในการประมวลผลไม่แน่นอนดังนั้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงข้อมูลจะทำการ Update ทันทีเพื่อให้ข้อมูลทันสมัยอยู่เสมอ


การจัดแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับเชิงดัชนี(Indexed Sequential File )การจัดแฟ้มข้อมูลแบบนี้เป็นการจัดแฟ้มข้อมูลเพื่อให้เครื่องสามารถเข้าถึงระเบียนที่ต้องการได้ทั้งแบบเรียงลำดับและแบบสุ่ม  สื่อบันทึกข้อมูลที่ใช้จะต้องเป็นประเภทที่สามารถเข้าถึงได้โดยตรง เช่น จานแม่เหล็ก การจัดเก็บข้อมูล จะแบ่งเป็น  2  ส่วน คือ
                1. ส่วนเก็บตารางดัชนี (Index area) เพื่อใช้ในการค้นหาระเบียน

                2. ส่วนเก็บข้อมูล แบ่งเป็น  2  ส่วน คือ Prime data area , Overflow area


Entity & attribute
เอนทิตี(Entity) หมายถึง สิ่งที่ต้องการในฐานข้อมูลที่เป็นที่รวมข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน มีข้อมูลที่บ่งชี้เอกลักษณ์เฉพาะตัวได้ เช่น เอนทิตีของระบบงานจำหน่ายสินค้าซึ่งประกอบด้วย เอนทิตีที่มีความสัมพันธ์กัน ได้แก่ เอนทิตีสินค้า เอนทิตีลูกค้า เอนทิตีใบสั่งซื้อ
แอททริบิวต์(Attribute) หมายถึง ข้อมูลที่แสดงถึงคุณสมบัติของเอนทิตี เช่น เอนทิตีสินค้า ประกอบด้วยแอททริบิวต์ รหัสสินค้า ชื่อสินค้า ราคาสินค้า และสินค้าคงเหลือ เอนทิตีลูกค้าประกอบด้วยแอททริบิวต์ รหัสลูกค้า ชื่อลูกค้า และที่อยู่ เอนทิตีใบสั่งซื้อประกอบด้วยแอททริบิวต์ รหัสใบสั่งซื้อ รหัสสินค้า รหัสลูกค้า และจำนวน

-------------------------------------------------------------

What is Database and Database  

Management Systems (DBMS) ?

-------------------------------------------------------------
   .DBMS  ย่อมาจาก Database Management System
DB คือ Database  หมายถึง ฐานข้อมูล
M คือ Management หมายถึง การจัดการ
S คือ System หมายถึง ระบบ
   DBMS คือ ระบบการจัดการฐานข้อมูล หรือซอฟต์แวร์ที่ดูแลจัดการเกี่ยวกับฐานข้อมูล โดยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ทั้งในด้านการสร้าง การปรับปรุงแก้ไข
การเข้าถึงข้อมูล และการจัดการเกี่ยวกับระบบแฟ้มข้อมูลทางกายภาพ ภายในฐานข้อมูลซึ่งต่างไปจากระบบแฟ้มข้อมูลคือ หน้าที่เหล่านี้จะเป็นของโปรแกรมเมอร์ ในการติดต่อฐานข้อมูลไม่ว่าจะด้วยการใช้คำสั่งในกลุ่ม DML หรือ DDL หรือ จะด้วยโปรแกรมต่างๆ ทุกคำสั่งที่ใช้กระทำกับฐานข้อมูลจะถูกโปรแกรม DBMS นำมาแปล (Compile) เป็นการกระทำต่างๆภายใต้คำสั่งนั้นๆ เพื่อนำไปกระทำกับตัวข้อมูลใน ฐานข้อมูลต่อไป 
   DBMS ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาด้าน Data Independence ที่ไม่มีในระบบแฟ้มข้อมูล ทำให้มีความเป็นอิสระจากทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์ และข้อมูลภายในฐานข้อมูลกล่าวคือโปรแกรม DBMS นี้จะมีการทำงานที่ไม่ขึ้นอยู่กับรูปแบบ (Platform) ของตัวฮาร์ดแวร์ ที่นำมาใช้กับระบบฐานข้อมูลรวมทั้งมีรูปแบบในการอ้างถึงข้อมูลที่ไม่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางกายภาพของข้อมูลด้วยการใช้ Query Language ในการติดต่อกับข้อมูลในฐานข้อมูลแทนคำสั่งภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 ส่งผลให้ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลได้โดยไม่จำเป็นต้องทราบถึงประเภทหรือขนาดของข้อมูลนั้นหรือสามารถกำหนดลำดับที่ของฟิลด์ ในการกำหนดการแสดงผลได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงลำดับที่จริงของฟิลด์ นั้น
   หน้าที่ของ DBMS
1.) ทำหน้าที่แปลงคำสั่งที่ใช้จัดการกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่ข้อมูลเข้าใจ
2.) ทำหน้าที่ในการนำคำสั่งต่างๆ ซึ่งได้รับการแปลแล้วไปสั่งให้ฐานข้อมูลทำงาน เช่น การเรียกใช้ข้อมูล (Retrieve) การจัดเก็บข้อมูล (Update) การลบข้อมูล (Delete) หรือ การเพิ่มข้อมูลเป็นต้น (Add) ฯลฯ
3.) ทำหน้าที่ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับข้อมูลภายในฐานข้อมูล โดยจะคอยตรวจสอบว่าคำสั่งใดที่สามารถทำงานได้และคำสั่งใดที่ไม่สามารถทำได้
4.) ทำหน้าที่รักษาความสัมพันธ์ของข้อมูลภายในฐานข้อมูลให้มีความถูกต้องอยู่เสมอ
5.) ทำหน้าที่เก็บรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลภายในฐานข้อมูลไว้ใน data dictionary ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้มักจะถูกเรียกว่า "ข้อมูลของข้อมูล" (Meta Data)
6.) ทำหน้าที่ควบคุมให้ฐานข้อมูลทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

-------------------------------------------------------------
Non‐Relational Databases and


Databases in the Cloud
-------------------------------------------------------------


ปัจจุบันนี้เทคโนโลยี Database นั้นถือว่าเติบโตเร็วและมีความหลากหลายมากกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก ดังนั้นในบทความนี้จึงได้ทำการสรุปเทคโนโลยีของทั้ง SQL, NoSQL และ NewSQL เพื่อให้ผู้อ่านพอมีความเข้าใจในระดับพื้นฐานสำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจ หรือศึกษาต่อยอดต่อไปในอนาคตได้ด้วยตัวเอง พร้อมข้อดีข้อเสียของแต่ละเทคโนโลยี ดังต่อไปนี้ครับ

SQL

เทคโนโลยี Database พื้นฐานที่ทุกคนคงรู้จักกันดี แต่น้อยคนนักที่จะมีความเชี่ยวชาญ โดย SQL นี้ก็เป็นเทคโนโลยีหลักที่เราเห็นกันในแทบจะทุก Application ในปัจจุบัน ด้วยการทำงานเป็น Relational Database ที่มีการจัดเก็บไฟล์เป็นแบบตารางหรือ Strucutued Data / Schema-based เป็นหลัก ซึ่งถึงแม้ปัจจุบันจะมีความพยายามที่จะทำให้ SQL สามารถบันทึกข้อมูล Unstructured Data ได้ แต่ในหลายๆ ความสามารถสำหรับการจัดการ Unstructured Data นั้นก็ยังไม่เทียบเท่า NoSQL จริงๆ อยู่ดี
mysql_architecture_diagram
ข้อดี
  • เป็นเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาต่อเนื่องมานาน ทำให้มีความสามารถรอบด้าน โดยถูกออกแบบมาให้เป็น General Purpose รองรับการทำงานได้หลากหลาย
  • สามารถทำงานร่วมกับ Hardware แบบเดิมๆ ได้ รวมถึงสามารถทำงานร่วมกับ Application และ Programming Language ได้หลากหลาย
  • มีเครื่องมือสนับสนุนการใช้งานให้พร้อม ทั้งสำหรับการเสริมความทนทาน, การเพิ่มความปลอดภัย, การบริหารจัดการ และการดูแลรักษา
  • ในระดับองค์กรก็มีผลิตภัณฑ์หลากหลายพร้อมบริการสนับสนุนให้อย่างครบครัน
ข้อเสีย
  • ส่วนใหญ่จะไม่สามารถทำ Scale-out ได้อย่างยืดหยุ่นเท่ากับเทคโนโลยีฐานข้อมูลอื่นๆ ทำให้การออกแบบ SQL สำหรับรองรับผู้ใช้งานจำนวนมหาศาลในระบบใหญ่ๆ นั้นถือว่าค่อนข้างยาก
  • การที่ต้องระบุ Schema ชัดเจนก็ทำให้การเพิ่มฟีลด์ของข้อมูลนั้นทำได้ลำบาก (ถึงแม้จะใช้ JSON ได้แต่ก็ไม่ยืดหยุ่นเท่าการใช้ NoSQL เต็มๆ อยู่ดี)
  • การถูกออกแบบมาเป็น General Purpose นั้นก็ทำให้มีประสิทธิภาพสู้กับพวก NoSQL หรือ NewSQL ในงานเฉพาะทางบางอย่างไม่ได้
  • การทำ Performance Tuning นั้นต้องอาศัยความรู้เป็นอย่างมาก

NoSQL

คำว่า NoSQL นี้อันที่จริงแล้วเป็นคำที่ใช้เรียกเทคโนโลยีที่ไม่ใช่ SQL แทบจะทั้งหมด ทำให้คำว่า NoSQL นั้นไม่มีมาตรฐานแต่อย่างใด แต่กล่าวโดยรวมก็คือ NoSQL มักจะเป็นเทคโนโลยีฐานข้อมูลที่ถูกออกแบบมาสำหรับงานเฉพาะทางบางอย่างที่ SQL ยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้ดีเพียงพอ ตัวอย่างเช่น
  • DynamoDB, Riak และ Cassandra ที่เน้นให้ฐานข้อมูลมีความทนทาน, สามารถบันทึกข้อมูลและเรียกอ่านข้อมูลได้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าข้อมูลที่ถูกอ่านออกไปนั้นจะไม่ใช่ข้อมูลล่าสุด
  • MongoDB และ CouchDB ที่ต่อยอดจาก Key-Value ด้วยการบันทึกข้อมูลเป็น JSON ที่มีความยืดหยุ่นกว่าแทน พร้อมระบบ Sub-key และ Sub-Value ภายในกับการทำ Sharding ให้รองรับการบริการข้อมูลจำนวนมากด้วยความเร็วสูง
  • Redis ที่ถูกออกแบบมาให้เป็น Key-Value ที่สามารถจัดการกับข้อมูลได้รวดเร็วและดีขึ้น โดยเป็นที่นิยมสำหรับการสร้างข้อมูลที่มีการเรียงลำดับหลายๆ ชุด สำหรับใช้ในการทำ Ranking และ Leaderboard รวมถึงยังมีความสามารถในการจัดเรียงและประมวลผลทางสถิติที่ซับซ้อน สำหรับนำไปใช้ใน Application เฉพาะทางบางอย่างได้ดี
  • Neo4j เป็นฐานข้อมูลสำหรับการประมวลผลข้อมูลแบบ Graph โดยเฉพาะ
  • Elasticsearch เป็นระบบฐานข้อมูลสำหรับการค้นหาข้อมูลแบบ Text โดยเฉพาะ
mongodb_architecture
ข้อดี
  • โดยมาก NoSQL มักถูกออกแบบมาให้มี Availability สูงมาก และ Scale ระบบเพื่อรองรับผู้ใช้งานจำนวนมากได้ง่าย ถึงแม้ระบบจะทำงานร่วมกันข้าม Data Center ก็ตาม
  • NoSQL หลายๆ ระบบถูกออกแบบมาสำหรับ Unstructured Data โดยเฉพาะ เช่น ประมวลผล Log, XML, JSON และเอกสารต่างๆ ทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้งานเฉพาะทางแต่ละประเภทสูง
ข้อเสีย
  • ส่วนใหญ่แล้ว NoSQL จะทำงานแบบ Non-transactional ดังนั้นถ้าหากข้อมูลมีความละเอียดสูงและผิดพลาดไม่ได้เลย NoSQL หลายๆ ระบบก็อาจจะไม่เหมาะในหลายๆ กรณี
  • การเรียกอ่านข้อมูลขึ้นมาใช้ส่วนใหญ่มักจะมี Cost ที่สูงกว่าการใช้ SQL เพราะไม่สามารถเลือกเจาะจงได้อย่างง่ายๆ ว่าจะเรียกข้อมูลส่วนไหนขึ้นมา ยกเว้นสำหรับงานเฉพาะทางบางอย่างที่จะดีกว่า SQL แบบชัดเจนมาก (ขึ้นอยู่กับงานที่ทำและเทคโนโลยีที่เลือก) แต่การบันทีกข้อมูลลงไปส่วนใหญ่จะง่ายกว่า SQL
  • เทคโนโลยีส่วนใหญ่ไม่มีความเป็นมาตรฐานกลาง ดังนั้นการเปรียบเทียบแต่ละเทคโนโลยีค่อนข้างทำได้ยาก ผู้ใช้งานต้องมีความคุ้นเคยกับการจัดการ Software เหล่านี้ให้ได้ด้วยตัวเอง
  • ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถสนับสนุนเทคโนโลยีเหล่านี้ในระดับองค์กรได้นั้นยังมีไม่มาก แต่เทคโนโลยี NoSQL นี้กลับมีความจำเป็นมากในการที่องค์กรจะสร้างความแตกต่างในเชิงเทคโนโลยีจากคู่แข่ง

NewSQL

สำหรับคำว่า NewSQL นี้อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูกันมากนัก โดยคำว่า NewSQL นี้ถูกบัญญัติขึ้นมาโดยนักวิเคราะห์จาก 451 Group ที่ใช้เรียกเทคโนโลยี SQL แบบใหม่ที่ต่อยอดขึ้นมาจากแบบเก่าเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องประสิทธิภาพให้มีความรวดเร็วสูงยิ่งขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง In-memory เข้ามาช่วย และการ Scale ระบบได้ในระดับที่ใกล้เคียงกับ NoSQL โดยยังทำงานแบบ Transactional ได้ และมีความทนทานในระดับสูง เพื่อรองรับความต้องการของสถาบันการเงิน, ระบบซื้อขายสินค้าต่างๆ หรือแม้แต่ระบบ ERP ขนาดใหญ่ขององค์กร
อย่างไรก็ดี NewSQL นี้ก็เป็นเทคโนโลยีที่ไม่ได้มีมาตรฐานชัดเจนตายตัวเช่นกัน ทำให้ผู้ผลิตแต่ละรายนั้นพัฒนา NewSQL ในแนวทางของตัวเอง โดยมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป เช่น
  • SAP HANA สำหรับระบบ ERP ที่มีการเขียนและการอ่านข้อมูลจำนวนมหาศาล พร้อมออกรายงานได้อย่างรวดเร็วด้วย In-memory
  • Microsoft Hekaton ระบบ SQL Server In-memory OLTP ที่มาช่วยให้ SQL Server ทำงานได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
  • NuoDB เป็น SQL Database ที่ถูกออกแบบมาสำหรับการทำ Cluster ได้ถึงระดับข้าม Data Center แต่แรก
sap_hana_platform_diagram
ข้อดี
  • สามารถใช้ทดแทน SQL ที่ใช้งานอยู่เดิมได้ง่าย
  • รองรับงานประเภท Analytics ได้ดีมาก
  • มีจุดเด่นบางข้อที่คล้ายคลึงกับ NoSQL
  • มีเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาสำหรับทำงานเฉพาะทางบางอย่างด้วยประสิทธิภาพที่ดีขึ้นได้
ข้อเสีย
  • ไม่สามารถทำงานเป็น General Purpose ได้ถึงระดับเดียวกับ SQL
  • การใช้ In-memory ยังมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่และความจุอยู่ รวมถึง Data Consistency ในกรณีที่เกิดปัญหาทางด้านไฟฟ้ากับ Data Center
  • ยังไม่มีเครื่องมือช่วยจัดการเท่ากับ SQL
  • โซลูชั่นโดยรวมยังมีราคาสูง แต่ก็คุ้มค่าเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้รับ

ไม่มีเทคโนโลยีฐานข้อมูลไหนที่รองรับงานได้ทุกรูปแบบ

จะเห็นได้ว่าแต่ละเทคโนโลยีนั้นก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป และทุกเทคโนโลยีนั้นก็ยังมีการพัฒนาต่อยอดต่อไปเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนในวงการ IT ควรทำ (และไม่จำกัดเฉพาะกับเรื่อง Database เท่านั้น) ก็คือการหมั่นศึกษาแต่ละเทคโนโลยีให้ดี มีการทดสอบการทำงานก่อนเลือกใช้งานจริง และเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะกับงาน เพราะถ้าหากเลือกเทคโนโลยีไม่เหมาะสมกับงานแล้ว สุดท้ายก็จะก่อให้เกิดหนี้ในเชิงการพัฒนาระบบไปเสียเปล่าๆ นั่นเอง

ทั้งนี้การอ่านบทความนี้ก็ยังไม่ถือว่าได้รับข้อมูลครบถ้วนนะครับ ขาดอะไรไปเยอะมากเหมือนกัน ดังนั้นถ้าใครสนใจจะศึกษาต่อยอดจริงๆ แนะนำว่าไปทดลองของจริงเปรียบเทียบกันดูเลยจะเห็นภาพเร็วกว่ามากครับ
-------------------------------------------------------------CAPABILITIES OF DATABASE

MANAGEMENT SYSTEMS

-------------------------------------------------------------

Database คืออะไร

Database หรือ ฐานข้อมูล คือ กลุ่มของข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ โดยมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยไม่ได้บังคับว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะต้องเก็บไว้ในแฟ้มข้อมูลเดียวกันหรือแยกเก็บหลาย ๆ แฟ้มข้อมูล
ผู้ใช้และโปรแกรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล หรือ DBMS (data base management system)มีหน้าที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายสะดวกและมีประสิทธิภาพ การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้อาจเป็นการสร้างฐานข้อมูล การแก้ไขฐานข้อมูล หรือการตั้งคำถามเพื่อให้ได้ข้อมูลมา โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับรู้เกี่ยวกับรายละเอียดภายในโครงสร้างของฐานข้อมูล

  • บิต (bit) ย่อมาจาก Binary Digit ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ 1 บิต จะแสดงได้ 2 สถานะคือ 0 หรือ 1 การเก็บข้อมูลต่างๆได้จะต้องนำ บิต หลายๆ บิต มาเรียงต่อกัน เช่นนำ 8 บิต มาเรียงเป็น 1 ชุด เรียกว่า 1ไบต์ เช่น10100001 หมายถึง ก
  • 10100010 หมายถึง ข
  • เมื่อเรานำ ไบต์ (byte) หลายๆ ไบต์ มาเรียงต่อกัน เรียกว่า เขตข้อมูล (field) เช่น Name ใช้เก็บชื่อ LastName ใช้เก็บนามสกุล เป็นต้น
  • เมื่อนำเขตข้อมูล หลายๆ เขตข้อมูล มาเรียงต่อกัน เรียกว่า ระเบียน (record) เช่น ระเบียน ที่ 1 เก็บ ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด ของ นักเรียนคนที่ 1 เป็นต้น
  • การเก็บระเบียนหลายๆระเบียน รวมกัน เรียกว่า แฟ้มข้อมูล (File) เช่น แฟ้มข้อมูล นักเรียน จะเก็บ ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด ของนักเรียน จำนวน 500 คน เป็นต้น
  • การจัดเก็บ แฟ้มข้อมูล หลายๆ แฟ้มข้อมูล ไว้ภายใต้ระบบเดียวกัน เรียกว่า ฐานข้อมูล หรือ Database เช่น เก็บ แฟ้มข้อมูล นักเรียน อาจารย์ วิชาที่เปิดสอน เป็นต้น
ในหน่วยงานใหญ่ๆอาจมีฐานข้อมูลมากกว่า 1 ฐานข้อมูลเช่น ฐานข้อมูลบุคลากร ฐานข้อมูลลูกค้า ฐานข้อมูลสินค้า เป็นต้น
วิวัฒนาการของ database
Relational database
Distributed database
Cloud database
NoSQL database
การ access database
1. ลดการเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อน ข้อมูลบางชุดที่อยู่ในรูปของแฟ้มข้อมูลอาจมีปรากฏอยู่หลาย ๆ แห่ง เพราะมีผู้ใช้ข้อมูลชุดนี้หลายคน เมื่อใช้ระบบฐานข้อมูลแล้วจะช่วยให้ความซ้ำซ้อนของข้อมูลลดน้อยลง
2. รักษาความถูกต้องของข้อมูล เนื่องจากฐานข้อมูลมีเพียงฐานข้อมูลเดียว ในกรณีที่มีข้อมูลชุดเดียวกันปรากฏอยู่หลายแห่งในฐานข้อมูล ข้อมูลเหล่านี้จะต้องตรงกัน ถ้ามีการแก้ไขข้อมูลนี้ทุก ๆ แห่งที่ข้อมูลปรากฏอยู่จะแก้ไขให้ถูกต้องตามกันหมดโดยอัตโนมัติด้วยระบบจัดการฐานข้อมูล
3. การป้องกันและรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลทำได้อย่างสะดวก การป้องกันและรักษาความปลอดภัยกับข้อมูลระบบฐานข้อมูลจะให้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นซึ่งก่อให้เกิดความปลอดภัย(security) ของข้อมูลด้วย
  1. หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูล  การจัดเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูล  โดยข้อมูลเรื่องเดียวกันอาจมีอยู่หลายแฟ้มข้อมูล ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งของข้อมูลได้  (  Inconsistency  )
  1. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้  ฐานข้อมูลเป็นการจัดเก็บข้อมูลรวมไว้ด้วยกัน  เมื่อผู้ใช้ต้องการข้อมูลจากฐานข้อมูล ซึ่งเป็นข้อมูลที่มาจากแฟ้มข้อมูลที่แตกต่างกันจะทำได้ง่าย
  1. สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล  การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะแฟ้มข้อมูล  อาจทำให้ข้อมูลประเภทเดียวกันถูกเก็บไว้หลาย ๆ แห่ง  ทำให้เกิดความซ้ำซ้อน  (Reclundancy  )  การนำข้อมูลมารวมเก็บไว้ในฐานข้อมูล จะช่วยลดปัญหาความซ้ำซ้อนได้
  1. รักษาความถูกต้อง  ฐานข้อมูลบางครั้งอาจมีข้อผิดพลาดขึ้น  เช่น  การป้อนข้อมูลผิด ซึ่งระบบการจัดการฐานข้อมูลสามารถระบุกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้
  1. สามารถกำหนดความเป็นมาตรฐานเดียวกันได้  เพราะในระบบฐานข้อมูลจะมีกลุ่มบุคคลที่คอยบริหารฐานข้อมูล  กำหนดมาตรฐานต่าง ๆ ในการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะเดียวกัน
  1. สามารถกำหนดระบบความปลอดภัยของข้อมูลได้  ผู้บริหารระบบฐานข้อมูลสามารถกำหนดการเรียกใช้ข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคนให้แตกต่างกันตามหน้าที่ ความรับผิดชอบได้ง่าย
  1. ความเป็นอิสระของข้อมูลและโปรแกรม  โปรแกรมที่ใช้ในแต่ละแฟ้มข้อมูลจะมีความสัมพันธ์กับแฟ้มข้อมูลโดยตรงถ้าหากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงสร้างข้อมูลก็ทำการแก้ไขโปรแกรมนั้น ๆ
  1. มีต้นทุนสูง  ระบบฐานข้อมูลก่อให้เกิดต้นทุนสูง  เช่น  ซอฟท์แวร์ที่ใช้ในการจัดการระบบฐานข้อมูล  บุคลากร  ต้นทุนในการปฏิบัติงาน  และ  ฮาร์ดแวร์  เป็นต้น
  1. มีความซับซ้อน  การเริ่มใช้ระบบฐานข้อมูล  อาจก่อให้เกิดความซับซ้อนได้  เช่น  การจัดเก็บข้อมูล  การออกแบบฐานข้อมูล  การเขียนโปรแกรม  เป็นต้น
  1. การเสี่ยงต่อการหยุดชะงักของระบบ  เนื่องจากข้อมูลถูกจัดเก็บไว้ในลักษณะเป็นศูนย์รวม(CentralizedDatabase    System  )  ความล้มเหลวของการทำงานบางส่วนในระบบอาจทำให้ระบบฐานข้อมูลทั้งระบบหยุดชะงักได้


ระบบฐานข้อมูล (Database System) คือ ระบบที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีระบบมีความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่าง ๆ ที่ชัดเจน ในระบบฐานข้อมูลจะประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มที่มีข้อมูล เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบและเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถใช้งานและดูแลรักษาป้องกันข้อมูลเหล่านี้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีซอฟต์แวร์ที่เปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่าง
ส่วนประกอบแฟ้มข้อมูล (File) ระเบียน (Record) และ เขตข้อมูล (Field) และถูกจัดการด้วยระบบเดียวกัน โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะเข้าไปดึงข้อมูลที่ต้องการได้ อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเปรียบฐานข้อมูลเสมือนเป็น electronic filing system
การเข้าถึงข้อมูลในฐานข้อมูลจึงจำเป็นต้องมีระบบการจัดการฐานข้อมูลมาช่วยเรียกว่า database management system (DBMS) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการกับข้อมูล ตามความต้องการได้

Database ถูกพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี 1960 เริ่มต้นจาก hierarchical และ network databases จนมาถึงปี 1980 มีการนำเอา object-oriented-databases (OODBMS) มาใช้งาน ซึ่งเป็นพื่นฐานของระบบ relation database ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้
ในอีกมุมหนึง เราสามารถจัดแบ่งประเภทของ database ตามรูปแบบของชนิดข้อมูลได้ เช่น ตัวเลข,ตัวอักษร หรือ รูปภาพ บางครั้งก็อาจจะแบ่งตามความนิยมของ relational database เช่น distributed database, cloud database หรือ NoSQL database.
Relational database ถูกคิดค้นขึ้นโดย E.F. Codd (IBM)ในปี 1970 เริ่มต้นสร้างขึ้นมาจากกลุ่มของ table ที่มีข้อมูลภายในโดยแบ่งออกเป็นตามประเภทที่ตั้งไว้ แต่ละ table จะมีอย่างน้อย 1 ชนิดของแต่ละ column และแต่ละ row จะมีข้อมูลตามที่ชนิดที่ colmuns ได้กำหนดไว้
Standard Query Language (SQL) เป็นมาตราฐานที่ผู้ใช้งาน และ ระบบอื่นๆ ไว้เชื่อมต่อกับ relational database ซึ่งง่ายต่อการเพิ่มข้อมูลเข้าไป โดยไม่กระทบต่อโปรแกรมอื่นที่ใช้งานร่วมกันอยู่
Distributed database เป็น ฐานข้อมูลที่ถูกเก็บกระจายออกไปหลายๆที่ โดยอาศัยกระบวนการแจกจ่าย และ สำรองข้อมูล ผ่านทางระบบ network ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบคือ
-homogeneous – ระบบทั้งหมดทุกที่ต้องเป็น OS และ database ชนิดเดียวกัน
-heterogeneous – ระบบที่งหมดจะเหมือนหรือต่างกันก็ได้ในแต่ละที่
Cloud database เป็นฐานข้อมูลแบบใหม่ ที่ถูกปรับปรุงและสร้างขึ้นบนระบบ virtualized แบบเดียวกับ hybrid cloud, public cloud หรือ private cloud โดยเราสามารถขยายขนาดเพิ่มขึ้น หรือ ปรับแต่ง resource ได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งาน
cloud database
NoSQL database ถูกใช้ในรูปแบบ ที่เป็นการกระจายของข้อมูล จึงมีประสิทธิ์ภาพสูงสำหรับข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) เพราะ relational database ไม่ถูกออกมาให้รอบรับข้อมูลขนาดใหญ่ จึงนิยมใช้กับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ไม่ค่อยมีรูปแบบตายตัว
nosql
มีด้วยกัน 2 แบบคือ
– Database management system (DBMS) เป็น software ที่ควบคุมและบริหารข้อมูลภายในฐานข้อมูล
– Relational database management system (RDBMS) ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1970เพื่อเข้าถึง ฐานข้อมูลแบบ relational และยังคงได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน
ประโยชน์ของฐานข้อมูล
ข้อดีของฐานข้อมูล
การจัดเก็บข้อมูลเป็นฐานข้อมูลได้เปรียบกว่าการจัดเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูล  ดังนี้
ข้อเสียของฐานข้อมูล
การเก็บข้อมูลรวมเป็นฐานข้อมูลมีข้อเสีย  ดังนี้คือ




-------------------------------------------------------------

DATABASES AND THE WEB

-------------------------------------------------------------


Business Intelligence คือ ซอฟต์แวร์ที่นำข้อมูลที่มีอยู่เพื่อจัดทำรายงานในรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสมกับมุมมองในการวิเคราะห์ แสดงความสัมพันธ์ และทำนายผลลัพธ์ของแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นได้ ตรงตามความต้องการขององค์กร เพื่อประโยชน์ในการวางแผนกลยุทธด้านต่างๆ

ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และตลอดเวลา เช่นเดียวกัน ระบบธุรกิจก็มีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง และมากขึ้นด้วย จึงเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เลยว่าการที่องค์กรจะอยู่รอดได้นั้นจะต้องมีการใช้ข้อมูลสารสนเทศที่ทันสมัยและทันท่วงที เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและสามารถนำไปวางแผน หรือ โต้ตอบปัญหา เชิงธุรกิจได้ทันต่อเหตุการณ์ ให้กับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรการที่จะได้มาซึ่งข้อมูล สารสนเทศเหล่านั้น หนึ่งจำเป็นต้องมีการแสวงหาหนทาง ในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ได้มาก เพราะว่าข้อมูลเหล่านั้นมิใช่ข้อมูล ภายในองค์กรเท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลขององค์กร ที่เป็นคู่แข่งหรือเป็นข้อมูลของ องค์กรอื่นๆ ที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันกับเราก็เป็นไปได้ สองการเลือกสรรข้อมูลสารสนเทศที่มีคุณค่าจากกองข้อมูลที่มีขนาดมหึมา เพื่อให้แน่ใจว่าระบบข้อมูลสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นมานั้นเป็นข้อมูลสารสนเทศที่ สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริหารระดับสูงขององค์กรได้ เพื่อเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้จึงจำเป็นต้องมีระบบที่สามารถช่วยเตรียมข้อมูลที่ลึกซึ้ง และมีคุณค่าทางกิจกรรมทางธุรกิจให้แก่องค์กรได้


ปัจจุบันการวางแผนทางกลยุทธ์ของบริษัทนั้นจำเป็นต้องใช้ข้อมูลมากมาย ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูล ทางด้านการตลาด การขาย การเงิน การผลิตนั้นจะต้องทันกับเหตุการณ์ซึ่งมีข้อมูลเกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน ดังนั้นการจัดทำรายงาน จะต้องมีการแก้ไขบ่อย และมีความยุ่งยาก
Business Intelligence
- BI ไม่ใช่เรื่องใหม่ แนวความคิดนี้มีในโลกตั้งแต่ยุค 80
- BI ในปัจจุบันไม่มีนิยามชัดเจน เพราะขึ้นกับเทคโนโลยีของแต่ละค่ายที่จะพัฒนาไป ทำให้ความสามารถไม่เท่ากันในแต่ละค่าย คณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างต้องกำหนดวัตถุประสงค์ที่องค์กรอยากจะได้ให้ชัดเจน ระบุงบประมาณที่สามารถจัดสรรได้ และต้องมี IT Master Plan ให้ชัดเจน ว่าจะพัฒนาบุคคลากรทุกระดับเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร
Business Intelligence คือ ซอฟต์แวร์ที่นำข้อมูลที่มีอยู่เพื่อจัดทำรายงานในรูปแบบต่างๆ ที่เหมาะสมกับมุมมองในการวิเคราะห์  และตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน  และใช้สำหรับวิเคราะห์ข้อมูล  ของงานในมุมมองต่างๆ   ตามแต่ละแผนก  เช่น
- วิเคราะห์การดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อการตัดสินใจด้านการลงทุนสำหรับผู้บริหาร
- วิเคราะห์และวางแผนการขาย / การตลาด เพื่อประเมินช่องทางการจำหน่าย ฯลฯ
- วิเคราะห์สินค้าที่ทำกำไร สูงสุด / ขาดทุนต่ำสุด เพื่อการวางแผนงานด้านการตลาด และการผลิต
- วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อยอดขายของสินค้า ฯลฯ
- วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่งขัน ฯลฯ
Business Intelligence จะประกอบไปด้วยระบบข้อมูล และโปรแกรมแอพพลิเคชั่น ด้านการวิเคราะห์ มากมายหลายระบบ เช่น
  • ดาต้าแวร์เฮ้าส์ (Data Warehouse)
  • ดาต้ามาร์ท (Data Mart)
  • การทำเหมืองข้อมูล (Data Mining)
  • การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ (Operations Research & Numerical Methods)
  • เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลในหลายมิติ (OLAP) แบบประมวลผลทันทีที่ป้อนข้อมูลเข้าไป
  • และ ระบบสืบค้นและออกรายงานต่างๆ
Business Intelligence ยังมีจุดเด่นเพิ่มขึ้นอีกในด้าน
- ใช้งานง่ายเพียงแค่คลิกเมาส์ก็สามารถเปลี่ยนแปลงรายงานได้โดยไม่ต้องมีการคีย์ข้อมูลใหม่ ซึ่งผู้ใช้สามารถถาม ตอบคำถามทางธุรกิจได้หลายมุมมองเพียงในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งช่วยการตัดสินใจแม่นยำ และรวดเร็วกว่าคู่แข่ง ทั้งในเชิงกว้าง และเชิงลึก
- สามารถดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลที่หลากหลายภายในองค์กรมาทำการวิเคราะห์ เช่น Excel, FoxPro, Dbase, Access, ORACLE, SQL Server, Informix, Progress, DB2 เป็นต้น โดยไม่มีการเขียนโปรแกรมเพิ่มเติมใดๆ
ปัญหาที่พบบ่อยในการใช้ Business Intelligence ของบ้านเรา ได้แก่
- ไม่สามารถเชื่อมข้อมูลจากทุกส่วนได้ภายในระบบเดียวกัน เช่น ต้อง export ข้อมูลออกจากฐานข้อมูลก่อน จึงจะมาสร้าง dashboard, forecasting (พยากรณ์ข้อมูล) ได้
- องค์กรส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้งานในส่วน Analytics (การวิเคราะห์ข้อมูล) ได้อย่างคุ้มค่า เช่น บางระบบไม่สามารถ forecast ผลลัพธ์ได้ หรือ บางระบบ forecast ผลลัพธ์เชิงปริมาณแบบเส้นตรงเท่านั้น หรือ บางระบบไม่สามารถวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ หรือทำแบบจำลองเพื่อตัดสินใจได้ (simulation for decision)
- BI บางค่าย ไม่มีฟังก์ชัน data mining มาให้พร้อม จึงต้องแยกระบบวิเคราะห์อีกต่างหาก
- องค์กรขนาดใหญ่บางแห่ง อาจใช้เวลาในการติดตั้งระบบ (implementation) นานหลายปี และต้องใช้เวลาอีกระดับหนึ่งกว่า user ของแผนกต่างๆ จะใช้งานได้คล่องแคล่ว
- การอัพเกรดระบบจากระบบเดิมอาจทำได้ยาก เช่น data warehouse เดิม ไม่รองรับ business intelligence ใหม่
- พนักงาน IT ขององค์กรขาดความรู้ความเข้าใจในเชิง Business, Management
- ค่าใช้จ่ายสูงมาก ทำให้องค์กรธุรกิจเล็กๆ หรือหน่วยงานที่มีงบไม่สูงนัก ขาดโอกาสในการจัดซื้อ หรือได้ BI ที่มีฟังก์ชันครบดั่งใจ
สรุป
การบูรณาการข้อมูล (integration of data) ระหว่างข้อมูลประวัติกับข้อมูลใหม่ ณ ปัจจุบัน นับเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของระบบ Business Intelligence (BI) ขั้นสูง เนื่องจากมีธุรกิจจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ นำผลลัพธ์จากระบบดังกล่าวจะทำให้พัฒนาเครื่องมือการบริหาร วิเคราะห์ปัจจัย หรือทำนายแนวโน้ม เพื่อนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจกำหนดทิศทางธุรกิจและการตลาด ทั้งนี้ ธุรกิจที่เริ่มใช้แนวคิดนี้แล้วในปัจจุบันจะเป็นองค์กรที่ได้ประโยชน์สูงสุดก่อนใคร ก่อนที่มันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาในอนาคตอันใกล้นี้


บทที่ 6 E-Commerce : Digital Markets, Digital Goods

E-Commerce : Digital Markets, Digital Goods ------------------------------------------------------------------------ E-Business      ...